เมนู

ทวยตานุปัสสนาสูตรที่ 12


ว่าด้วยการพิจารณาเห็นธรรมเนือง ๆ


[390] ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วอย่างนี้
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ ณ บุพพาราม ปราสาทของ
นางวิสาขามิคารมารดา ใกล้พระนครสาวัตถี ก็สมัยนั้นแล เมื่อคืนเพ็ญพระ-
จันทร์เต็มดวงในวันอุโบสถที่ 15 ค่ำ พระผู้มีพระภาคเจ้าอันภิกษุสงฆ์แวดล้อม
ประทับนั่งอยู่กลางแจ้ง ทรงชำเลืองเห็นภิกษุสงฆ์สงบนิ่ง จึงตรัสกะภิกษุ
ทั้งหลายว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ถ้าจะพึงมีผู้ถามว่า จะมีประโยชน์อะไร
เพื่อการฟังกุศลธรรมอันเป็นอริยะ เป็นเครื่องนำออกไป อันให้ถึงปัญญาเป็น
เครื่องตรัสรู้ แก่ท่านทั้งหลาย เธอทั้งหลายพึงตอบเขาอย่างนี้ว่า มีประโยชน์
เพื่อรู้ธรรมเป็นธรรม 2 อย่างตามความเป็นจริง ถ้าจะพึงมีผู้ถามว่า ท่าน
ทั้งหลายกล่าว อะไรว่าเป็นธรรม 2 อย่าง พึงตอบเขาอย่างนี้ว่า การพิจารณา
เห็นเนือง ๆ ว่า นี้ทุกข์ นี้ทุกขสมุทัย นี้ข้อที่ 1 การพิจารณาเห็นเนือง ๆ ว่า
นี้ทุกขนิโรธ นี้ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา นี้เป็นข้อที่ 2 ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย
ภิกษุผู้พิจารณาเห็นธรรมเป็นธรรม 2 อย่างโดยชอบเนือง ๆ อย่างนี้ เป็นผู้
ไม่ประมาท มีความเพียร มีใจเด็ดเดี่ยวอยู่ พึงหวังผล 2 อย่าง อย่างใด
อย่างหนึ่ง คือ อรหัตผลในปัจจุบันนี้ หรือเมื่อยังมีความถือมั่นเหลืออยู่ เป็น
พระอนาคามี.
พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้สุคตศาสดา ครั้นตรัสไวยากรณภาษิตนี้จบลงแล้ว
จึงได้ตรัสคาถาประพันธ์ต่อไปอีกว่า

[391] ชนเหล่าใดไม่รู้ทุกข์ เหตุ
เกิดแห่งทุกข์ ธรรมชาติเป็นที่ดับทุกข์ไม่มี
ส่วนเหลือ โดยประการทั้งปวง และไม่รู้
มรรคอันให้ถึงความเข้าไประงับทุกข์ ชน
เหล่านั้นเสื่อมแล้วจากเจโตวิมุตติและปัญญา-
วิมุตติ เป็นผู้ไม่ควรเพื่อจะทำที่สุดแห่งทุกข์
ได้ เป็นผู้เข้าถึงชาติและชราแท้.
ส่วนชนเหล่าใดรู้ทุกข์ เหตุเกิดแห่ง
ทุกข์ ธรรมชาติเป็นที่ดับทุกข์ไม่มีส่วนเหลือ
โดยประการทั้งปวง และรู้มรรคอันให้ถึง
ความเข้าไประงับทุกข์ ชนเหล่านั้นถึงพร้อม
แล้วด้วยเจโตวิมุตติและปัญญาวิมุตติ เป็นผู้
ควรที่จะทำที่สุดแห่งทุกข์ได้ และเป็นผู้ไม่
เข้าถึงชาติและชรา.

[392] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ถ้าจะพึงมีผู้ถามว่า การพิจารณาเห็น
ธรรมเป็นธรรม 2 อย่างโดยชอบเนื่อง ๆ จนพึงมีโดยปริยายอย่างอื่นบ้างไหม
พึงตอบเขาว่าพึงมี ถ้าเขาพึงถามว่า พึงมีอย่างไรเล่า พึงตอบว่า การพิจารณา
เห็นเนืองๆ ว่า ทุกข์อย่างใดอย่างหนึ่งทั้งหมด ย่อมเกิดขึ้นเพราะอุปธิเป็นปัจจัย
นี้เป็นข้อ 1 การพิจารณาเห็นเนือง ๆ ว่า เพราะอุปธิทั้งหลายนี้เองดับไป
เพราะสำรอกโดยไม่เหลือ ทุกข์จึงไม่เกิด นี้เป็นข้อที่ 2 ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย

ภิกษุผู้พิจารณาเห็นเนือง ๆ ซึ่งธรรมเป็นธรรม 2 อย่าง โดยชอบอย่างนี้ ฯลฯ
จึงได้ตรัสคาถาประพันธ์ต่อไปอีกว่า
ทุกข์เหล่าใดเหล่าหนึ่ง มีเป็นอันมาก
ในโลก ย่อมเกิดเพราะอุปธิเป็นเหตุ ผู้ใดแล
รู้ย่อมกระทำอุปธิ ผู้นั้นเป็นผู้เขลา ย่อม
เข้าถึงทุกข์บ่อยๆ เพราะเหตุนั้น ผู้พิจารณา
เห็นเหตุเกิดแห่งชาติเนือง ๆ ทราบชัดอยู่
ไม่พึงทำอุปธิ.

[393] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ถ้าจะพึงมีผู้ถามว่า การพิจารณาเห็น
ธรรมเป็นธรรม 2 อย่างโดยชอบเนือง ๆ พึงมีโดยปริยายอย่างอื่นบ้างไหม
ควรตอบเขาว่า พึงมี ถ้าเขาถามว่า พึงมีอย่างไรเล่า พึงตอบเขาว่า การพิจารณา
เห็นเนือง ๆ ว่า ทุกข์อย่างใดอย่างหนึ่งทั้งหมด ย่อมเกิดขึ้นเพราะอวิชชาเป็น
ปัจจัย นี้เป็นข้อที่ 1 การพิจารณาเห็นเนือง ๆ ว่า เพราะอวิชชานั่นเองดับไป
เพราะสำรอกโดยไม่มีเหลือ ทุกข์จึงไม่เกิด นี้เป็นข้อที่ 2 ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย
ภิกษุผู้พิจารณาเห็นเนือง ๆ ซึ่งธรรมเป็นธรรม 2 อย่างโดยชอบอย่างนี้ ฯลฯ
จึงได้ตรัสคาถาประพันธ์ต่อไปอีกว่า
อวิชชานั้นเอง เป็นคติของสัตว์
ทั้งหลายผู้เข้าถึงชาติ มรณะและสงสาร อัน
มีความเป็นอย่างนี้ และความเป็นอย่างอื่น
บ่อย ๆ อวิชชา คือ ความหลงใหญ่นี้ เป็น

ความเที่ยงอยู่สิ้นกาลนาน สัตว์ทั้งหลายผู้ไป
ด้วยวิชชาเท่านั้น ย่อมไม่ไปสู่ภพใหม่.

[394] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ฯลฯ พึงตอบเขาว่า การพิจารณา
เห็นเนือง ๆ ว่า ทุกข์อย่างใดอย่างหนึ่งทั้งหมด ย่อมเกิดขึ้นเพราะสังขารเป็น
ปัจจัย นี้เป็นข้อที่ 1 การพิจารณาเห็นเนือง ๆ ว่า เพราะสังขารทั้งหลายนั่นเอง
ดับไป เพราะสำรอกโดยไม่มีเหลือ ทุกข์จึงไม่เกิด นี้เป็นข้อที่ 2 ดูก่อนภิกษุ
ทั้งหลาย ภิกษุผู้พิจารณาเห็นเนือง ๆ ซึ่งธรรมเป็นธรรม 2 อย่าง โดยชอบ
อย่างนี้ ฯลฯ จึงได้ตรัสคาถาประพันธ์ต่อไปอีกว่า
ทุกข์อย่างใดอย่างหนึ่งทั้งหมด ย่อม
เกิดขึ้นเพราะสังขารเป็นปัจจัย เพราะสังขาร
ทั้งหลายดับโดยไม่เหลือ ทุกข์จึงไม่เกิด.
ภิกษุรู้โทษนี้ว่า เพราะสังขารเป็น
ปัจจัย ทุกข์จึงเกิดขึ้น เพราะความสงบแห่ง
สังขารทั้งมวล สัญญาทั้งหลายจึงดับ ความ
สิ้นไปแห่งทุกข์ ย่อมมีได้ด้วยอาการอย่างนี้.
ภิกษุรู้ความสิ้นไปแห่งทุกข์นี้โดย
ถ่องแท้ บัณฑิตทั้งหลายผู้เห็นชอบ ผู้ถึงเวท
รู้โดยชอบแล้ว ครอบงำกิเลสเป็นเครื่อง
ประกอบของมารได้แล้ว ย่อมไม่ไปสู่ภพ
ใหม่.

[395] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ฯลฯ พึงตอบเขาว่า การพิจารณาเห็น
เนือง ๆ ว่า ทุกข์อย่างใดอย่างหนึ่งทั้งหมด ย่อมเกิดขึ้นเพราะวิญญาณเป็น
ปัจจัย นี้เป็นข้อที่ 1 การพิจารณาเห็นเนือง ๆ ว่า เพราะวิญญาณนั่นเองดับ
เพราะสำรอกโดยไม่เหลือ ทุกข์จึงไม่เกิด นี้เป็นข้อที่ 2 ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย
ภิกษุผู้พิจารณาเห็นเนือง ๆ ซึ่งธรรมเป็นธรรม 2 อย่างโดยชอบอย่างนี้ ฯลฯ
จึงตรัสคาถาประพันธ์ต่อไปอีกว่า
ทุกข์อย่างใดอย่างหนึ่งทั้งหมด ย่อม
เกิดขึ้นเพราะวิญญาณเป็นปัจจัย เพราะ
วิญญาณดับโดยไม่เหลือ ทุกข์จึงไม่เกิด.
ภิกษุรู้โทษนี้ว่า ทุกข์ย่อมเกิดขึ้น
เพราะวิญญาณเป็นปัจจัยดังนี้แล้ว ย่อมเป็น
ผู้หายหิว ดับรอบแล้วเพราะความเข้าไปสงบ
แต่งวิญญาณ.

[396] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ฯลฯ พึงตอบเขาว่า การพิจารณาเห็น
เนือง ๆ ว่า ทุกข์อย่างใดอย่างหนึ่งทั้งหมด ย่อมเกิดเพราะผัสสะเป็นปัจจัย
นี้เป็นข้อที่ 1 การพิจารณาเห็นเนือง ๆ ว่า เพราะผัสสะนั่นเองดับเพราะสำรอก
โดยไม่เหลือ ทุกข์จึงไม่เกิด นี้เป็นข้อที่ 2 ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุผู้พิจารณา
เห็นเนือง ๆ ซึ่งธรรมเป็นธรรม 2 อย่างโดยชอบอย่างนี้ ฯลฯ จึงตรัสคาถา
ประพันธ์ต่อไปอีกว่า
ความสิ้นไปแห่งสังโยชน์ ของชน
ทั้งหลายผู้อันผัสสะครอบงำแล้ว ผู้แล่นไป

ตามกระแสแห่งภวตัณหา ผู้ดำเนินไปแล้ว
สู่หนทางผิด ย่อมอยู่ห่างไกล ส่วนชน
เหล่าใดกำหนดรู้ผัสสะด้วยปัญญา ยินดีแล้ว
ในธรรมเป็นที่เข้าไปสงบ ชนแม้เหล่านั้น
เป็นผู้หายหิว ดับรอบแล้ว เพราะการดับไป
แห่งผัสสะ.

[397] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ฯลฯ พึงตอบเขาว่า การพิจารณาเห็น
เนือง ๆ ว่า ทุกข์อย่างใดอย่างหนึ่งทั้งหมด ย่อมเกิดขึ้นเพราะเวทนาเป็นปัจจัย
นี้เป็นข้อที่ 1 การพิจารณาเห็นเนือง ๆ ว่า เพราะเวทนานั่นเองดับเพราะสำรอก
โดยไม่เหลือ ทุกข์จึงไม่เกิด นี้เป็นข้อที่ 2 ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุผู้พิจารณา
เห็นเนือง ๆ ซึ่งธรรมเป็นธรรม 2 อย่างโดยชอบอย่างนี้ ฯลฯ จึงได้ตรัสคาถา
ประพันธ์ต่อไปว่า
ภิกษุรู้เวทนาอย่างใดอย่างหนึ่ง คือ
สุขเวทนา หรือทุกข์เวทนากับอทุกขมสุข-
เวทนา ที่มีอยู่ทั้งภายในและภายนอกว่า
เวทนานี้เป็นเหตุแห่งทุกข์ มีความสูญสิ้น
ไปเป็นธรรมดา มีความทรุดโทรมไปเป็น
ธรรมดา ถูกต้องด้วยอุทยัพพยญาณแล้ว
เห็นความเสื่อมไปอยู่ ย่อมรู้แจ่มแจ้ง ความ
เป็นทุกข์ในเวทนานั้นอย่างนี้ เพราะเวทนา
ทั้งหลายสิ้นไปนั้นเอง ทุกข์จึงไม่เกิด.

[398] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ฯลฯ พึงตอบเขาว่า การพิจารณาเห็น
เนือง ๆ ว่า ทุกข์อย่างใดอย่างหนึ่งทั้งหมด ย่อมเกิดขึ้นเพราะตัณหาเป็นปัจจัย
นี้เป็นข้อที่ 1 การพิจารณาเห็นเนือง ๆ ว่า เพราะตัณหานั่นเองดับเพราะสำรอก
โดยไม่เหลือ ทุกข์จึงไม่เกิด นี้เป็นข้อที่ 2 ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุผู้พิจารณา
เห็นเนือง ๆ ซึ่งธรรมเป็นธรรม 2 อย่างโดยชอบอย่างนี้ ฯลฯ จึงได้ตรัสคาถา
ประพันธ์ต่อไปอีกว่า
บุรุษผู้มีตัณหาเป็นเพื่อนสอง ท่อง-
เที่ยวไปสิ้นกาลนาน ย่อมไม่ล่วงพ้นสงสาร
อันมีความเป็นอย่างนี้ และความเป็นอย่างอื่น
ไปได้ ภิกษุรู้โทษนี้ว่า ตัณหาเป็นเหตุเกิด
แห่งทุกข์ เป็นผู้มีตัณหาปราศจากไปแล้ว
ไม่ถือมั่น มีสติ พึงเว้นรอบ.

[399] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ฯลฯ พึงตอบเขาว่า การพิจารณาเห็น
เนือง ๆ ว่า ทุกข์อย่างใดอย่างหนึ่งทั้งหมด ย่อมเกิดขึ้นเพราะอุปาทานเป็นปัจจัย
นี้เป็นข้อที่ 1 การพิจารณาเห็นเนือง ๆ ว่า เพราะอุปาทานนั่นเองดับเพราะ
สำรอกโดยไม่เหลือ ทุกข์จึงไม่เกิด นี้เป็นข้อที่ 2 ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุ
ผู้พิจารณาเห็นเนือง ๆ ซึ่งธรรมเป็นธรรม 2 อย่างโดยชอบอย่างนี้ ฯลฯ จึงได้
ตรัสคาถาประพันธ์ต่อไปอีกว่า
ภพย่อมมีเพราะอุปาทานเป็นปัจจัย
สัตว์ผู้เกิดแล้วย่อมเข้าถึงทุกข์ ต้องตาย
นี้เป็นเหตุเกิดแห่งทุกข์.

เพราะเหตุนั้นบัณฑิตทั้งหลายรู้แล้ว
โดยชอบ รู้ยิ่งความสิ้นไปแห่งชาติแล้วย่อม
ไม่ไปสู่ภพใหม่ เพราะความสิ้นไปแห่ง
อุปาทาน.

[400] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ฯลฯ พึงตอบเขาว่า การพิจารณาเห็น
เนือง ๆ ว่าทุกข์อย่างใดอย่างหนึ่งทั้งหมด ย่อมเกิดขึ้นเพราะความริเริ่มเป็น
ปัจจัย นี้เป็นข้อที่ 1 การพิจารณาเห็นเนือง ๆ ว่า เพราะการริเริ่มนั่นเองดับ
เพราะสำรอกโดยไม่เหลือ ทุกข์จึงไม่เกิด นี้เป็นข้อที่ 2 ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย
ภิกษุผู้พิจารณาเห็นเนือง ๆ ซึ่งธรรมเป็นธรรม 2 อย่างโดยชอบอย่างนี้ ฯลฯ
จึงได้ตรัสคาถาประพันธ์ต่อไปอีกว่า
ทุกข์อย่างใดอย่างหนึ่งทั้งหมด ย่อม
เกิดขึ้นเพราะความริเริ่มเป็นปัจจัย เพราะ
ความริเริ่มดับโดยไม่เหลือ ทุกข์จึงไม่เกิด.
ภิกษุรู้โทษนี้ว่า ทุกข์ย่อมเกิดขึ้น
เพราะความริเริ่มเป็นปัจจัยดังนี้แล้ว สละ
คืนความริเริ่มได้ทั้งหมดแล้ว น้อมไปใน
นิพพานที่ไม่มีความริเริ่ม ถอนภวตัณหาขึ้น
ได้แล้ว มีจิตสงบ มีชาติสงสารสิ้นแล้ว
ย่อมไม่มีภพใหม่.

[401] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ฯลฯ พึงตอบเขาว่า การพิจารณาเห็น
เนือง ๆ ว่า ทุกข์อย่างใดอย่างหนึ่งทั้งหมด ย่อมเกิดขึ้นเพราะอาหารเป็นปัจจัย
นี้เป็นข้อที่ 1 การพิจารณาเห็นเนือง ๆ ว่า เพราะอาหารทั้งหมดนั่นเองดับ
เพราะสำรอกโดยไม่เหลือ ทุกข์จึงไม่เกิด นี้เป็นข้อที่ 2 ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย
ภิกษุผู้พิจารณาเห็นเนือง ๆ ซึ่งธรรมเป็นธรรม 2 อย่างโดยชอบอย่างนี้ ฯลฯ
จึงได้ตรัสคาถาประพันธ์ต่อไปอีกว่า
ทุกข์อย่างใดอย่างหนึ่งทั้งหมด ย่อม
เกิดขึ้นเพราะอาหารเป็นปัจจัย เพราะอาหาร
ทั้งหลายดับโดยไม่เหลือ ทุกข์จึงไม่เกิด.
ภิกษุผู้ตั้งอยู่ในธรรม ผู้ถึงเวท รู้โทษ
นี้ว่า ทุกข์ย่อมเกิดขึ้นเพราะอาหารเป็นปัจจัย
ดังนี้แล้ว กำหนดรู้อาหารทั้งปวง เป็นผู้อัน
ตัณหาไม่อาศัยในอาหารทั้งหมด รู้โดยชอบ
ซึ่งนิพพานอันไม่มีโรค พิจารณาแล้วเสพ
ปัจจัย 4 ย่อมไม่เข้าถึงการนับว่า เป็นเทวดา
หรือมนุษย์ เพราะอาสวะทั้งหลายหมดสิ้นไป.

[402] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ฯลฯ พึงตอบเขาว่า การพิจารณาเห็น
เนือง ๆ ว่า ทุกข์อย่างใดอย่างหนึ่งทั้งหมด ย่อมเกิดขึ้นเพราะความหวั่นไหว
เป็นปัจจัย นี้เป็นข้อที่ 1 การพิจารณาเห็นเนือง ๆ ว่า เพราะความหวั่นไหว
ทั้งหลายนั่นเองดับไป เพราะสำรอกโดยไม่เหลือ ทุกข์จึงไม่เกิด นี้เป็นข้อที่ 2

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุผู้พิจารณาเห็นเนือง ๆ ซึ่งธรรมเป็นธรรม 2 อย่าง
โดยชอบอย่างนี้ ฯลฯ จึงได้ตรัสคาถาประพันธ์ต่อไปอีกว่า
ทุกข์อย่างใดอย่างหนึ่งทั้งหมด ย่อม
เกิดขึ้นเพราะความหวั่นไหวเป็นปัจจัยเพราะ
ความหวั่นไหวดับไม่มีเหลือ ทุกข์จึงไม่เกิด.
ภิกษุรู้โทษนี้ว่า ทุกข์ย่อมเกิดขึ้น
เพราะความหวั่นไหวเป็นปัจจัย ดังนี้ เพราะ
เหตุนั้นแล ภิกษุสละตัณหาแล้วสดับสังขาร
ทั้งหลายได้แล้ว เป็นผู้ไม่มีความหวั่นไหว
ไม่ถือมั่น แต่นั้นพึงเว้นรอบ.

[403] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ฯลฯ พึงตอบเขาว่า การพิจารณาเห็น
เนือง ๆ ว่า ความดิ้นรนย่อมมีแก่ผู้อันตัณหา ทิฏฐิ และมานะอาศัยแล้ว
นี้เป็นข้อที่ 1 การพิจารณาเห็นเนือง ๆ ว่า ผู้ที่ตัณหา ทิฏฐิ และมานะไม่อาศัย
แล้ว ย่อมไม่ดิ้นรน นี้เป็นข้อที่ 2 ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุผู้พิจารณาเห็น
เนือง ๆ ซึ่งธรรมเป็นธรรม 2 อย่าง โดยชอบอย่างนี้ ฯลฯ จึงได้ตรัสคาถา
ประพันธ์ต่อไปอีกว่า
ผู้อันตัณหา ทิฏฐิ และมานะไม่
อาศัยแล้ว ย่อมไม่ดิ้นรน ส่วนผู้อันตัณหา
ทิฏฐิ และมานะอาลัยแล้ว ถือมั่นอยู่ ย่อม
ไม่ล่วงพ้นสงสารอันมีความเป็นอย่างนี้ และ

ความเป็นอย่างอื่นไปได้ ภิกษุรู้โทษนี้ว่า
เป็นภัยใหญ่ในเพราะนิสสัย คือ ตัณหาทิฏฐิ
และมานะทั้งหลายแล้วเป็นผู้อันตัณหาทิฏฐิ
และมานะไม่อาศัยแล้ว ไม่ถือมั่น มีสติ
พึงเว้นรอบ.

บ404] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ฯลฯ พึงตอบเขาว่า การพิจารณาเห็น
เนือง ๆ ว่า อรูปภพละเอียดว่ารูปภพ นี้เป็นข้อที่ 1 การพิจารณาเห็นเนืองๆ
ว่า นิโรธละเอียดกว่าอรูปภพ นี้เป็นข้อ 2 ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุผู้พิจารณา
เห็นเนือง ๆ ซึ่งธรรมเป็นธรรม 2 อย่างโดยชอบอย่างนี้ ฯลฯ จึงได้ตรัสคาถา
ประโยคพันธ์ต่อไปอีกว่า
สัตว์เหล่าใดผู้เข้าถึงรูปภพ และสัตว์
เหล่าใดอยู่ในอรูปภพ สัตว์เหล่านั้นเมื่อยังไม่
รู้ชัดซึ่งนิพพาน ก็ยังเป็นผู้จะต้องมาสู่ภพใหม่
ส่วนชนเหล่าใดกำหนดรู้รูปภพแล้ว ไม่ดำรง
อยู่ในอรูปภพ ชนเหล่านั้นน้อมไปในนิพ-
พานทีเดียว เป็นผู้ละมัจจุเสียได้.

[405] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ฯลฯ พึงตอบเขาว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย
นามรูปที่โลกพร้อมทั้งเทวโลก มารโลก พรหมโลก ที่หมู่สัตว์พร้อมทั้ง
สมณพราหมณ์ เทวดาและมนุษย์เล็งเห็นว่า นามรูปนี้เป็นของจริง พระอริยเจ้า
ทั้งหลายเห็นด้วยดีแล้วด้วยปัญญาอันชอบตามความเป็นจริงว่า นามรูปนั่นเป็น

ของเท็จ นี้เป็นอนุปัสสนาข้อที่ 1 ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย นิพพานที่โลกพร้อมทั้ง
เทวโลก มารโลก พรหมโลก ที่หมู่สัตว์พร้อมทั้งสมณพราหมณ์ เทวดาและ
มนุษย์เล็งเห็นว่า นิพพานนี้เป็นของเท็จ พระอริยเจ้าทั้งหลายเห็นด้วยดีแล้ว
ด้วยปัญญาอันชอบตามความเป็นจริงว่า นิพพานนั้นเป็นของจริง นี้เป็น
อนุปัสสนาข้อที่ 2 ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุผู้พิจารณาเห็นเนือง ๆ ซึ่งธรรม
เป็นธรรม 2 อย่างโดยชอบอย่างนี้ ฯลฯ จึงได้ตรัสคาถาประพันธ์ต่อไปอีกว่า
ท่านผู้มีความสำคัญในนามรูป อัน
เป็นของมิใช่ตนว่าเป็นตน จงดูโลกพร้อมทั้ง
เทวโลก ผู้ยึดมั่นแล้วในนามรูป ซึ่งสำคัญ
นามรูปนี้ว่า เป็นของจริง.
ก็ชนทั้งหลายย่อมสำคัญ (นามรูป)
ด้วยอาการใด ๆ นามรูปนั้น ย่อมเป็นอย่างอื่น
ไปจากอาการที่เขาสำคัญนั้น นามรูปของผู้
นั้นแล เป็นของเท็จ เพราะนามรูปมีความ
สูญสิ้นไปเป็นธรรมดา.
นิพพานมีความไม่สูญสิ้นไปเป็น
ธรรมดา พระอริยเจ้าทั้งหลายรู้นิพพานนั้น
โดยความเป็นจริง พระอริยเจ้าเหล่านั้นแล
เป็นผู้หายหิวดับรอบแล้ว เพราะตรัสรู้ของ
จริง.

[406] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ถ้าจะพึงมีผู้ถามว่า การพิจารณาเห็น
ธรรมเป็นธรรม 2 อย่างเนือง ๆ โดยชอบ จะพึงมีโดยปริยายอย่างอื่นบ้างไหม

พึงตอบเขาว่า พึงมี. ถ้าเขาถามว่าพึงมีอย่างไรเล่า. พึงตอบเขาว่า ดูก่อนภิกษุ
ทั้งหลาย อิฏฐารมณ์ที่โลกพร้อมทั้งเทวโลก มารโลก พรหมโลก ที่หมู่สัตว์
พร้อมทั้งสมณพราหมณ์ เทวดาและมนุษย์เล็งเห็นว่า เป็นสุข พระอริยเจ้า
ทั้งหลายเห็นด้วยดีแล้วด้วยปัญญาอันชอบ ตามความเป็นจริงว่า นั่นเป็นทุกข์
นี้เป็นอนุปัสสนาข้อที่ 1. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย นิพพานที่โลกพร้อมทั้งเทวโลก
มารโลก พรหมโลก ที่หมู่สัตว์พร้อมทั้งสมณพราหมณ์ เทวดาและมนุษย์
เล็งเห็นว่า นี้เป็นทุกข์ พระอริยเจ้าทั้งหลายเห็นด้วยดีแล้วด้วยปัญญาอันชอบ
ตามความเป็นจริงว่า นั้นเป็นสุข นี้เป็นอนุปัสสนาข้อที่ 2. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย
ภิกษุผู้พิจารณาเห็นธรรมเป็นธรรม 2 อย่างโดยชอบเนืองๆ อย่างนี้ไม่ประมาท
มีความเพียร มีใจเด็ดเดี่ยว พึงหวังผล 2 อย่าง อย่างใดอย่างหนึ่ง คือ
อรหัตผลในปัจจุบันนี้ หรือเมื่อยังมีความถือมั่นเหลืออยู่ เป็นพระอนาคามี.
พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้สุคตศาสดา ครั้นตรัสไวยากรณภาษิตนี้จบลงแล้ว
จึงได้ตรัสคาถาประพันธ์ต่อไปอีกว่า
รูป เสียง กลิ่น รส ผัสสะ และ
ธรรมารมณ์ล้วนน่าปรารถนา น่าใคร่ น่า-
พอใจ มีประมาณเท่าใด โลกกล่าวว่ามีอยู่
อารมณ์ 6 อย่างเหล่านี้ โลกพร้อมทั้งเทวโลก
สมมติกันว่าเป็นสุข แต่ว่าธรรมเป็นที่ดับ
อารมณ์ 6 อย่างนี้ ชนเหล่านั้นสมมติกันว่า
เป็นทุกข์.

ความดับแต่งเบญจขันธ์ พระอริย-
เจ้าทั้งหลายเห็นว่าเป็นสุข ความเห็นขัดแย้ง
กันกับโลกทั้งปวงนี้ย่อมมีแก่บัณฑิตทั้งหลาย
ผู้เห็นอยู่.
ชนเหล่าอื่นกล่าววัตถุกามใดโดย
ความเป็นสุข พระอริยเจ้าทั้งหลายกล่าววัตถุ
กามนั้นโดยความเป็นทุกข์.
ชนเหล่าอื่นกล่าวนิพพานใดโดย
ความเป็นทุกข์ พระอริยเจ้าทั้งหลายผู้รู้แจ้ง
กล่าวนิพพานนั้นโดยความเป็นสุข ท่านจง
พิจารณาธรรมที่รู้ได้ยากที่ชนพาลทั้งหลาย
ไม่รู้แจ้ง พากันลุ่มหลงอยู่ในโลกนี้.
ความมืดตื้อย่อมมีแก่ชนพาลทั้งหลาย
ผู้ถูกอวิชชาหุ้มห่อแล้ว ผู้ไม่เห็นอยู่ ส่วน
นิพพาน เป็นธรรมชาติเปิดเผยแก่สัตบุรุษ
ผู้เห็นอยู่ เหมือนอย่างแสงสว่าง ฉะนั้น.
ชนทั้งหลายเป็นผู้ค้นคว้า ไม่ฉลาด
ต่อธรรม ย่อมไม่รู้แจ้งนิพพานที่มีอยู่ในที่
ใกล้.
ชนทั้งหลายผู้ถูกภวราคะครองงำ
แล้ว แล่นไปตามกระแสภวตัณหา ผู้เข้าถึง

วัฏฏะอันเป็นบ่วงแห่งมารเนือง ๆ ไม่ตรัสรู้
ธรรมนี้ได้โดยง่าย
นอกจากพระอริยเจ้าทั้งหลาย ใคร
หนอ ย่อมควรจะรู้บท คือ นิพพานที่พระ-
อริยเจ้าทั้งหลายตรัสรู้ดีแล้ว พระอริยเจ้า
ทั้งหลายเป็นผู้ไม่มีอาสวะเพราะรู้โดยชอบ
ย่อมปรินิพพาน.

[407] พระผู้มีพระภาคเจ้า ได้ตรัสไวยากรณภาษิตนี้จบลงแล้ว
ภิกษุเหล่านั้นมีใจชื่นชมยินดีภาษิตของพระผู้มีพระภาคเจ้า ก็และเมื่อพระผู้มี-
พระภาคเจ้าตรัสไวยากรณภาษิตนี้อยู่ จิตของภิกษุประมาณ 60 รูป หลุดพ้น
แล้วจากอาสวะทั้งหลาย เพราะไม่ถือมั่น ดังนี้แล.
จบทวยตานุปัสสนาสูตรที่ 12
รวมหัวข้อประจำเรื่องในพระสูตรนี้ คือ
สัจจะ อุปธิ อวิชชา สังขาร วิญญาณเป็นที่ 5 ผัสสะ เวทนา
ตัณหา อุปาทาน อารัมภะ อาหาร ความหวั่นไหว ความดิ้นรน รูป และ
สัจจะกับทุกข์ รวมเป็น 16.
จบมหาวรรคที่ 3

อรรถกถาทวยตานุปัสสนาสูตรที่ 12


ทวยตานุปัสสนาสูตร มีคำเริ่มต้นว่า เอวมฺเม สุตํ ดังนี้.
พระสูตรนี้มีการเกิดขึ้นอย่างไร ?
พระสูตรนี้เกิดขึ้นเพราะพระอัธยาศัยของพระองค์ พระผ้มีพระภาคเจ้า
ทรงแสดงพระสูตรนี้ด้วยพระอัธยาศัยของพระองค์. นี้เป็นความย่อในพระสูตร
นี้. ส่วนความพิสดารของพระสูตรนี้ จักมีแจ้งในอรรถกถานั่นแล.
ในบทเหล่านั้น บทว่า เอวมฺเม สุตํ เป็นต้นมีนัยดังได้กล่าวมาแล้ว.
บทว่า ปุพฺพาราเม ปุพพารามคืออารามด้านทิศตะวันออกของกรุงสาวัตถี
ในบทว่า มิคารมาตุ ปาสาเท ปราสาทของนางวิสาขามิคารมารดานี้มีความว่า
นางวิสาขาอุบาสิกาท่านเรียกว่ามิคารมารดา เพราะมิคารเศรษฐีผู้เป็นพ่อผัว
ของนางตั้งไว้ในฐานะเป็นมารดา นางวิสาขามิคารมารดานั้น สละเครื่องประดับ
มหาลดามีค่าเก้าโกฏิสร้างปราสาทมีห้องบนเรือนยอดหนึ่งพันห้อง คือ ข้างล่าง
500 ห้อง ข้างบน 500 ห้อง จึงเรียกปราสาทนั้นว่า ปราสาทของมิคารมารดา.
บนปราสาทของนางวิสาขามิคารมารดานั้น. บทว่า เตน โข ปน สมเยน
ภควา
ความว่า สมัยที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงอาศัยกรุงสาวัตถีประทับอยู่ ณ
ปุพพารามอันเป็นปราสาทของนางวิสาขามิคารมารดา. บทว่า ตทหุโปสเถ
คือ ในวันอุโบสถขึ้น 15 ค่ำ. ท่านเรียกว่าวันอุโบสถ. บทว่า ปณฺณรเส
นี้ เป็นคำปฏิเสธวันอุโบสถที่เหลือที่มาถึงด้วย อุโปสถ ศัพท์. บทว่า
ปุณฺณาย ปุณฺณมาย รตฺติยา เมื่อราตรีเพ็ญมีพระจันทร์เต็มดวงในวัน